ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

EPISODE 1 น้องสาวที่หายไป


 

 March talk

ผมกวาดสายตามองตัวอักษรที่ร้อยเรียงเป็นประวัติของเด็กผู้หญิงที่ชื่อว่า 'หนึ่งวารี พัชรสกุลกิจ' ด้วยความสงสัยต่อความจริงในบางอย่างที่เต็มตื้นขึ้นมา ชื่อที่คุ้นเคย นามสกุลที่คุ้นหู ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับแม่ ทำให้ผมไม่อาจมองข้ามไปได้

เธอเป็นใครกันแน่?...

แล้วเธอ...ใช่น้องสาวที่หายไปของผมหรือเปล่า?

คำถามพวกนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผมซ้ำ ๆ สร้างความรู้สึกกระวนกระวายใจให้ผมเป็นอย่างมาก จนต้องตัดสินใจโทรหาใครสักคนที่จะช่วยทำให้ความจริงมันกระจ่างขึ้นมาบ้าง

"ว่า?" ปลายสายรับสายของผมด้วยน้ำเสียงงัวเงียเล็กน้อย

"เควส ตอนนี้มึงอยู่ที่ไหน?" 

"ระดับนี้ ก็ต้องอยู่บ้านหญิงสิครับ"

"=_=" ซึ่งคำตอบของมันก็ทำให้ผมแอบชักสีหน้าเบื่อหน่าย อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว ยังไม่ลด ละ เลิกอีกนะมัน

"ว่าแต่มึงมีอะไรวะ? โทรหากูเช้าขนาดนี้? หาว...." พูดจบประโยคก็ยังไม่วายมีเสียงหาวมาเป็นคนสร้อย

"เช้าเหี้ยอะไร!? จะเที่ยงอยู่แล้วไอ้ห่า"

"อ้าวเหรอ? ก็ไม่รู้อะ เพิ่งตื่น"

"=_="

"นี่คือมึงโทรมาแค่จะด่ากูช้ะ? กูจะได้วาง"

"เปล่า กูมีเรื่องอยากให้มึงช่วย"

"พระเจ้า!! นี่กูต้องฉลองหน่อยไหมไอ้สัส ผอ.ผู้เก่งกาจอย่างคุณเหนือเวหา รัตนเกียรติไพศาล มาขอความช่วยเหลือจากนักสืบต๊อกต๋อยอย่างกู"

"=_=" เนี่ย!! มันก็เป็นซะแบบนี้ กว่าจะเข้าเรื่องได้ 

"ว่าแต่...มึงจะให้กูช่วยเรื่องอะไรวะ?"

"กูอยากให้มึงช่วยสืบประวัติของผู้หญิงคนหนึ่งให้กู"

"สืบประวันติคน เรื่องแค่นี้มึงก็ให้คนของมึงทำเองก็ได้นี่"

"คนพวกนั้นเป็นคนของป๊ากู และกูไม่ไว้ใจคนของป๊า"

"มึงแม่งก็อคติเกิ๊น นั่นพ่อแท้ ๆ ของมึงนะเว้ย ทำไมจะไม่ไว้ใจวะ?"

"ป๊ากูนี่แหละตัวดีเลย" ผมเป็นลูกชายคนโตของป๊า มีหรือที่ผมจะไม่รู้จักความร้ายกาจและเล่ห์เหลี่ยมแสนแพรวพราวของท่าน และผมที่อยู่ในฐานะลูกคนโตย่อมได้รับอิทธิพลความเล่ห์ร้ายแสนกลของท่านมาเต็ม ๆ และที่ผมรู้แน่ ๆ ก็คือ ป๊าน่ะ...มีเรื่องปิดบังผมอยู่

"กูละเบื่อกับความไม่ลงรอยของครอบครัวมึงจริง ๆ ป๊ามึงไม่ได้ทำอะไรไม่ดีลับหลังครอบครัวมึงสักหน่อย"

"ถ้าสิ่งที่ป๊าทำลับหลังไม่ใช่เรื่องไม่ดี แล้วทำไมป๊าต้องปิดบังกูด้วย"

"กูบอกมึงไปหลายรอบที่ล้านแล้วว่าด้วยสัญชาตญาณนักสืบของกู ป๊ามึงไม่ได้มีบ้านเล็กบ้านน้อยอย่างมึงกับม๊ามึงสงสัยแน่นอน"

"...."

"แล้วอีกอย่างมึงก็ให้กูไปสืบแล้วด้วย ซึ่งกูก็ไม่เห็นจะพบอะไรแบบที่มึงสงสัยเลย"

"แต่มึงก็ตอบกูไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? ว่าทำไมตลอดสิบปีที่ผ่านมาท่านถึงต้องบินไปที่ฮ่องกงบ่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ได้มีธุรกิจอยู่ที่นั่นเลย"

"บางทีท่านอาจจะสนใจลงทุนธุรกิจอยู่ที่นั่นก็ได้"

"...." ผมเป็นลูกของป๊ามานาน เป็นมาตั้งแต่เกิดแล้วด้วย มันผิดปกติวิสัยของท่าน ถ้าเป็นเรื่องธุรกิจจริง การเคลื่อนของท่านต้องไม่เป็นไปอย่างมีความลับอย่างนี้แน่ ๆ แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องอนุภรรยาแบบที่ผมสงสัยจริง แล้วมีเรื่องอะไรอีกที่ทำให้ท่านต้องปิดบังเรืองนี้กับครอบครัว

"เออ ๆ ไม่เชื่อก็ตามใจ"

"...."

"กลับมาเรื่องของเราดีกว่า" มันพูดด้วยน้ำเสียงดี๊ด๊าขั้นสุดจนน่าถีบเลย

"อย่ามาใช้คำพูดแบบนี้นะไอ้สัส!! กูขนลุก"

"แหม!! ของมันก็เคย ๆ ไหม?" 

"ไอ้เควส" ผมกดเสียงต่ำเรียกเจ้าของชื่ออย่างไม่พอใจ ให้มันหยุดเล่นแบบนี้สักที ตอนนี้ใครต่อใครก็คิดกันไปหมดแล้วว่าผมกับมันเป็น... แม่งเอ๊ย!!

"ก็ได้ ๆ ไม่เล่นก็ได้"

"...."

"สรุปคนที่มึงจะให้กูสืบประวัติคือใครวะ?"

"เธอมีชื่อว่า...หนึ่งวารี พัชรสกุลกิจ"

"เดี๋ยวนะ!! 'หนึ่งวารี' ชื่อคุ้น ๆ ว่ะ"

"...." ผมเงียบไปสักพักเพื่อให้มันได้ทบทวนความทรงจำของตัวเอง

"หนึ่งวารี ใช่ชื่อของหนึ่งในน้องสาวฝาแฝดของมึงหรือเปล่า?"

"เออ"

"แต่นามสกุล...ไม่ใช่นี่หว่า?"

"เธอเป็นนักเรียนในโรงเรียนของกู"

"ทำไมมึงถึงสนใจเธอวะ?"

"....."

"มึงคงไม่ได้คิดว่าเธอคือน้องสาวที่หายไปของมึงหรอกใช่ไหม?"

"แล้วกูจะคิดไม่ได้หรือไง?" ผมตามหาน้องสาวของผมมาตลอดสิบปี วี่แววหรือร่องรอยสักนิดผมก็ไม่เจอ หากวันนี้ผมได้มีโอกาสเจอคนที่ผมสงสัยว่าจะเป็นน้องสาวของผมอยู่ตรงหน้า ผมก็ต้องสืบหาให้รู้แน่ชัดสิ 

"นี่มึงยังไม่เลิกหมกมุ่นอีกเหรอ?"

"ไอ้เควส มึงไม่มาเป็นกู มึงไม่รู้หรอกว่าเสียงร้องไห้ของม๊าที่กูได้ยินทุกคืนเพราะเสียใจเรื่องน้องมันทรมานมากแค่ไหน" เพราะแบบนี้ไง ผมเลยได้ย้ายออกจากบ้านหลังนั้นไปอยู่กับป้า 

"...."

"กูก็แค่อยากมีความหวังว่าครอบครัวของกูจะมีโอกาสได้เจอน้อง ๆ อีกครั้ง"

"เออ ๆ กูจะช่วย ได้เรื่องยังไงแล้วเดี๋ยวบอก"

"เออ ขอบใจมึงมาก"

"แค่นี่นะไอ้สัส"

"เออ"

.

.

"นี่เป็นประวัติทั้งหมดที่กูสืบได้เกี่ยวกับเด็กคนนั้น" เควสโยนแฟ้มสีดำมาบนโต๊ะทำงานของผม ก่อนที่มันจะทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาที่อยู่ตรงข้ามกัน

"...." ผมเอื้อมมือไปเปิดแฟ้มนั้นก่อนจะกวาดสายตาอ่านตัวอักษรที่ร้อยเรียงด้วยหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมสงสัย และไม่สามารถมองข้ามไปได้เลย

"เธอเคยเปลี่ยนชื่อมาก่อน เรื่องนี้มึงคงรู้อยู่แล้วจากใบสมัครเข้าเรียน" คล้ายกับรู้ความต้องการของผม เควสเริ่มพูดเรื่องรายของ 'มายด์มิ้นท์'ให้ผมฟังเป็นฉาก ๆ

"เออ แต่ชื่อจีนของเธอมันน่าสงสัยตรงไหน?"

" 'จาง หยางซิน' มึงรู้ไหม? ว่าชื่อนี้มีอิทธิพลยังไงกับทางฝั่งฮ่องกง"

"???"

"เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของคุณจาง เป่าฉือ"

"จาง เป่าฉือ?" ผมทวนชื่อนี้ซ้ำ ๆ ด้วยความรู้สึกคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก

"ใช่ ท่านได้ชื่อว่าเป็นพ่อมดแห่งอุตสาหกรรมการต่อเรือ แล้วก็ได้ฉายาเป็นเจ้าพ่อสมุทรศาสตร์แห่งเกาะฮ่องกงอีกนะมึง"

"...."

"และอีกข่าวที่ดังพอ ๆ กับความสำเร็จของท่านก็น่าจะเป็นเรื่องทายาทปริศนาที่ไม่เคยเปิดเผยกับสื่อที่ไหนเลยนี่แหละ"

"...."

"นี่เป็นรูปของหยางซินที่เคยถูกถ่ายไว้ได้เมื่อ 2 ปีก่อนตอนที่เธอจบการศึกษามัธยมต้น" 

"...."ผมกดสายตาลงมองรูปเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในชุดครุยที่ใบหน้านิ่งเฉยของเธอราวกับไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใดมันสะดุดให้ผมคิดถึงใครคนหนึ่งในความคิด สายตาแบบนี้...เธอเหมือนป๊าของผมจริง ๆ

"และนี่ก็น่าจะเป็นรูปเดียวที่เป็นการยืนยันว่าจาง หยางซินมีตัวตนอยู่จริง"

"มึงต้องการจะบอกอะไรกูกันแน่?"

"มึงคิดว่าตระกูลจางที่แสนโด่งดังมีเหตุผลอะไรที่ต้องซ่อนทายาทของตัวเองกับสื่อล่ะ" ผมลองคิดตามที่ผมพูด

"....."

"ถึงจะมีข่าววงในออกมาบอกว่าคุณจาง เป่าฉือท่านหวงลูกสาวมาก"

"...."

"แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้คนที่รักและหวงลูกสาวเข้ากระดูกดำแบบนั้นยอมส่งลูกตัวเองมาเรียนไกลถึงไทยนี่ด้วย"

"...."

"กูว่า...ผู้หญิงคนนี้มีอะไรให้มึงต้องสืบอีกเยอะเลยว่ะ"

"...." ปากของผมมันเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อความรู้สึกหนัก ๆ มันกำลังเข้าเล่นงานผมอย่างจัง ปมเงื่อนที่ผูกเอาไว้อย่างสลับซับซ้อน ผมควรแก้ไขมันอย่างไรดี

"แล้วก็นะ...กูมีอะไรอีกอย่างให้มึงดู" เควสลุกขึ้นมาเปิดหน้ากระดาษพลิกไปที่ประวัติของอีกคน

"...." ผมลองอ่านข้อความเหล่านั้นด้วยหัวใจที่ถูกกระตุกวูบกับความจริงที่ผมไม่ทันตั้งรับ

"กูลองไปสืบประวัติของคุณจาง เป่าฉือดูก็รู้ว่าท่าน แท้จริงแล้วเป็นลูกบุญธรรมของตระกูลจาง ที่ตอนนั้นท่านถูกรับเลี้ยงเพราะพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์"

"....."

"และนามสกุลเก่าของท่านก็คือ...."

"พัชรสกุลกิจ" ผมพูดนามสกุลนั้นออกมาเมื่อเริ่มรู้สึกว่าอะไร ๆ มันเริ่มเข้าร่องเข้ารอยมากขึ้นแล้ว

"ใช่ และมึงก็คงรู้อยู่แล้วว่าท่านมีพี่ชายอีกหนึ่งคนที่ถูกรับเลี้ยงเป็นเด็กในอุปการะโดยตระกูลทินกรอุไรมาศ"

"ตระกูลตาของกูเอง..."

"อือ"

ผมยกมือทั้งสองปิดหน้าตัวเองเพราะรู้สึกเหนื่อยล้ากับเรื่องที่ยากจะทำความเข้าใจ

"ทีนี้มึงก็เลิกสงสัยได้แล้วเนอะว่าหยางซินเป็นอะไรกับผู้ชายคนนั้น" 

'ผู้ชายคนนั้น' ผู้ชายคนนั้นที่เควสมันหมายถึงก็คือลุงจัสติน คนที่ทำให้ผมต้องสูญเสียน้อทั้งสอบคนไป และท่านก็เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด

"ข้อมูลที่กูหามาได้ก็มีแค่นี้แหละว่ะ"

"ไม่เป็นไร แค่นี้กูก็รู้สึกเหมือนโลกจะหมุนแล้ว" ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องมันจะซับซ้อนขนาดนี้

"แต่จากที่กูไปหามา แม่งไม่มีอะไรมายืนยันได้เลยว่ะว่าเธอจะเป็นน้องสาวที่หายไปของมึงได้"

"...."

"แล้วอีกอย่างนะเว้ย เธอไม่มีแฝด"

"...." คำพูดเหมือนดับฝันราวกับไม้หนา ๆ ที่หวดฟาดเข้าอย่างจัง แสงสว่างแห่งความหวังดับพรึบลงในพริบตาเดียว

"แต่ก็อย่างที่บอก...ข้อมูลที่กูหามาได้มันแค่นิดเดียวจริง ๆ บางที...ผู้หญิงคนนี้อาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างอื่นที่เราไม่รู้ก็ได้"

"มึงอย่ามาพูดเหมือนให้ความหวังกูแบบนี้นะ" เควสมองผมแล้วระบายยิ้มก่อนจะเดินมาหย่อนก้มนั่งทับบนที่วางแขนของเก้าอี้ที่ผมกำลังนั่งอยู่พลางเอื้อมมือไปหยิบรูปของมายด์มิ้นท์ขึ้นมาพิจารณดู

"สวยว่ะ"

"เฮ้ย! อย่าแม้แต่จะคิดนะเว้ย" ดูมันชมเข้า!! ถึงเธอจะไม่ใช่น้องสาว แต่ยังไงเธอก็เป็นคู่หมั้นของเซฟาน ผมหวงเธอในฐานะคู่หมั้นของน้องชายของเพื่อนอีกทีก็ได้

"ไอ้สัส!! กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น"

"แล้วไป"

"แต่จะว่าไป...ยัยเด็กนี่ก็หน้าเหมือนแม่มึงอยู่นะ แต่สายตานี่...เหมือนพ่อมึงฉิบหาย"

"ใช่ไหมล่ะ กูเห็นครั้งแรกกูยังตกใจเลย แล้วแบบนี้จะไม่ให้กูสงสัยว่าเธอเป็นน้องสาวของกูได้ไง"

"เอาหน่า...อย่าเครียดเลย" มันวางรูปของมายด์มิ้นท์ ก่อนจะลงน้ำหนักมือบีบนวดไหล่ให้ผม

"วันนี้ไปตี้กัน"

"ตี้เชี่ยไรก่อน กูไม่ไป"

"ไอ้สัส!! เดี๋ยวนี้มึงไม่ค่อยไปเที่ยวกับเพื่อนกับฝูงเลย ไอ้พวกนั้นมันถามหากันหมดแล้ว"

"เควส ตอนนี้กูเป็นผอ.แล้ว แถมยังพ่วงตำแหน่งอธิการบดีมหาลัยด้วย มึงก็รู้ว่ากูไปที่แบบนั้นบ่อยมันจะดูไม่ดี" ถึงผมจะชอบที่นั่นมากก็ตามแต่เรื่องการวางตัวก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน ถึงคนจะบอกว่าเดี๋ยวนี้มันไม่มีใครมาสนใจเรื่องแบบนั้นแล้ว แต่มันก็ยังเกี่ยวกับเรื่องความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของผมอยู่ดี

"ผอ.แล้วไง อธิการบดีแล้วไง มึงไม่ใช่คนหรือไงวะ?"

"...."

"ไปเที่ยวบ้าง ไปปลดปล่อยความเครียดบ้าง"

"มึงพูดมาเลยตรง ๆ ดีกว่าว่าทำไมถึงอยากให้กูไปนัก ปกติไม่เห็นจะเซ้าซี้นี่หว่า"

"แหม...มึงนี่รู้ทันกูทุกเรื่องจริง ๆ "

"=_="

"ครั้งนี้กูมีอะไรจะให้มึงดูด้วย"

"อะไร?"

"ไปถึงเดี๋ยวมึงก็รู้เองนั่นแหละ"

"....."

"สรุปว่าไง? ไปไม่ไป"

"...."

"ไง...." มันลากเสียงยาวถามย้ำได้อย่างน่ากวนตีน

"เออ ๆ ไปก็ไป"

March talk end

To be continued



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

EPISODE 2 เรื่องทะเลาะ

March talk ทันทีที่เดินเข้ามาถึงด้านในสายตาของผมต้องหรี่ลงเล็กน้อยเพราะแสงไฟวูบวาบบริเวณด้านในแอบทำให้ผมปรับโฟกัสไม่ทัน ผมกวาดมองรอบ ๆ ตัวด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคยแต่ทว่าห่างหายไปนาน ตั้งแต่เข้าบริหารงานโรงเรียนและมหาวิทยาลัยแทนป๊าเต็มตัวผมก็ไม่ค่อยได้มาที่นี่อีกเลย จำได้ว่าครั้งล่าสุดน่าจะเป็นเมื่อประมาณปีที่แล้วตอนปิดภาคเรียนที่ 1 เนื่องจากผับแห่งนี้เป็นหนึ่งในธุรกิจของตระกูลถาวรเดชาฤทธิ์ และผมเองก็สนิทกับทายาททั้งสองของตระกูลนี้ดี เลยได้มีโอกาสมาเที่ยวที่นี่อยู่บ่อยครั้ง แม้จะไม่ได้มานาน แต่ผมก็ยังคงจดจำรายละเอียดของที่นี่ได้อย่างชัดเจน รู้...แม้กระทั่งทางลัดที่จะไปยังห้อง VIP ได้โดยไม่ต้องผ่านฝูงชนไปให้มากมาย "อ๊ะ!!" "!!!" แต่ในจังหวะที่ผมกำลังหมุนตัวเพื่อเดินเลี่ยงไปอีกทางนั้น ร่างของผมก็ไปชนเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินสวนมาอีกทาง และร่างเพรียวบางนั้นกำลังหงายล้มไปด้านหลัง ซึ่งโชคดีที่ผมคว้าเอวของเธอและดึงเข้าตัวไว้ได้ทันก่อนที่ร่างอรชรจะได้รับบาดเจ็บ "ขอบคุณค่ะ" น้ำเสียงเสนาะคุ้นหูรีบทำให้ผมช้อนสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่เต้นถี่รัว "!?...โซเฟ...

EPISODE 5 อันตราย

  Sofia talk "อือ...ชอบ" ฉันวางดินสอในมือลง ก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้า เมื่อเสียงของมาร์ชที่เคยพูดกับฉันยังคงดังก้องซ้ำ ๆ อยู่ในหัวไม่หายไปไหน "=//=" หัวใจที่พาลเต้นแรงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทำเอาฉันไม่มีสมาธิทำงานทำการเอาเสียเลย "แกเป็นเพื่อนฉันนะ ฉันจะเกลียดแกได้ไง" แต่ในเวลาต่อมาความรู้สึกนั้นก็ถูกกระชากไป เพราะมีประโยคอื่นในบทสนทนาแทรกเข้ามาแทน "ไอ้มาร์ช!! ไอ้บ้า!!" ฉันรู้ว่าเขาไม่ผิด แต่มันผิดที่ฉันที่ไปหลงดีใจกับคำบอกชอบนั่นเอง พอได้แล้วโซเฟีย....เลิกคิดมากได้แล้ว แกกับเขาไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากเพื่อนกัน ฉันหอบเอาหัวใจที่ห่อเหี่ยวกลับมาจดจ่อตั้งใจกับงานตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนที่เสียงเปิดประตูโดยไม่มีการเคาะจะเรียกสายตาของฉันให้ช้อนขึ้นมอง "นี่เป็นนางแบบที่แกให้ฉันไปหา" จริงใจที่ตอนนี้มีฐานะเป็นหุ้นส่วนของฉันส่งแฟ้มปกสีดำมาให้ ก่อนที่เธอจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม "คนอื่นฉันไม่มีปัญหา แต่ฉันติดอยู่คนสุดท้ายที่ชื่อ 'พอลล่า' เธอไม่ใช่นางแบบนี่" จากที่ฉันกวาดสายตาอ่านประวัติของผู้หญิงคนนี้คร่าว ๆ เธอเหมือนจะเป็นน...