March talk
ผมกวาดสายตามองตัวอักษรที่ร้อยเรียงเป็นประวัติของเด็กผู้หญิงที่ชื่อว่า 'หนึ่งวารี พัชรสกุลกิจ' ด้วยความสงสัยต่อความจริงในบางอย่างที่เต็มตื้นขึ้นมา ชื่อที่คุ้นเคย นามสกุลที่คุ้นหู ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับแม่ ทำให้ผมไม่อาจมองข้ามไปได้
เธอเป็นใครกันแน่?...
แล้วเธอ...ใช่น้องสาวที่หายไปของผมหรือเปล่า?
คำถามพวกนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผมซ้ำ ๆ สร้างความรู้สึกกระวนกระวายใจให้ผมเป็นอย่างมาก จนต้องตัดสินใจโทรหาใครสักคนที่จะช่วยทำให้ความจริงมันกระจ่างขึ้นมาบ้าง
"ว่า?" ปลายสายรับสายของผมด้วยน้ำเสียงงัวเงียเล็กน้อย
"เควส ตอนนี้มึงอยู่ที่ไหน?"
"ระดับนี้ ก็ต้องอยู่บ้านหญิงสิครับ"
"=_=" ซึ่งคำตอบของมันก็ทำให้ผมแอบชักสีหน้าเบื่อหน่าย อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว ยังไม่ลด ละ เลิกอีกนะมัน
"ว่าแต่มึงมีอะไรวะ? โทรหากูเช้าขนาดนี้? หาว...." พูดจบประโยคก็ยังไม่วายมีเสียงหาวมาเป็นคนสร้อย
"เช้าเหี้ยอะไร!? จะเที่ยงอยู่แล้วไอ้ห่า"
"อ้าวเหรอ? ก็ไม่รู้อะ เพิ่งตื่น"
"=_="
"นี่คือมึงโทรมาแค่จะด่ากูช้ะ? กูจะได้วาง"
"เปล่า กูมีเรื่องอยากให้มึงช่วย"
"พระเจ้า!! นี่กูต้องฉลองหน่อยไหมไอ้สัส ผอ.ผู้เก่งกาจอย่างคุณเหนือเวหา รัตนเกียรติไพศาล มาขอความช่วยเหลือจากนักสืบต๊อกต๋อยอย่างกู"
"=_=" เนี่ย!! มันก็เป็นซะแบบนี้ กว่าจะเข้าเรื่องได้
"ว่าแต่...มึงจะให้กูช่วยเรื่องอะไรวะ?"
"กูอยากให้มึงช่วยสืบประวัติของผู้หญิงคนหนึ่งให้กู"
"สืบประวันติคน เรื่องแค่นี้มึงก็ให้คนของมึงทำเองก็ได้นี่"
"คนพวกนั้นเป็นคนของป๊ากู และกูไม่ไว้ใจคนของป๊า"
"มึงแม่งก็อคติเกิ๊น นั่นพ่อแท้ ๆ ของมึงนะเว้ย ทำไมจะไม่ไว้ใจวะ?"
"ป๊ากูนี่แหละตัวดีเลย" ผมเป็นลูกชายคนโตของป๊า มีหรือที่ผมจะไม่รู้จักความร้ายกาจและเล่ห์เหลี่ยมแสนแพรวพราวของท่าน และผมที่อยู่ในฐานะลูกคนโตย่อมได้รับอิทธิพลความเล่ห์ร้ายแสนกลของท่านมาเต็ม ๆ และที่ผมรู้แน่ ๆ ก็คือ ป๊าน่ะ...มีเรื่องปิดบังผมอยู่
"กูละเบื่อกับความไม่ลงรอยของครอบครัวมึงจริง ๆ ป๊ามึงไม่ได้ทำอะไรไม่ดีลับหลังครอบครัวมึงสักหน่อย"
"ถ้าสิ่งที่ป๊าทำลับหลังไม่ใช่เรื่องไม่ดี แล้วทำไมป๊าต้องปิดบังกูด้วย"
"กูบอกมึงไปหลายรอบที่ล้านแล้วว่าด้วยสัญชาตญาณนักสืบของกู ป๊ามึงไม่ได้มีบ้านเล็กบ้านน้อยอย่างมึงกับม๊ามึงสงสัยแน่นอน"
"...."
"แล้วอีกอย่างมึงก็ให้กูไปสืบแล้วด้วย ซึ่งกูก็ไม่เห็นจะพบอะไรแบบที่มึงสงสัยเลย"
"แต่มึงก็ตอบกูไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? ว่าทำไมตลอดสิบปีที่ผ่านมาท่านถึงต้องบินไปที่ฮ่องกงบ่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ได้มีธุรกิจอยู่ที่นั่นเลย"
"บางทีท่านอาจจะสนใจลงทุนธุรกิจอยู่ที่นั่นก็ได้"
"...." ผมเป็นลูกของป๊ามานาน เป็นมาตั้งแต่เกิดแล้วด้วย มันผิดปกติวิสัยของท่าน ถ้าเป็นเรื่องธุรกิจจริง การเคลื่อนของท่านต้องไม่เป็นไปอย่างมีความลับอย่างนี้แน่ ๆ แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องอนุภรรยาแบบที่ผมสงสัยจริง แล้วมีเรื่องอะไรอีกที่ทำให้ท่านต้องปิดบังเรืองนี้กับครอบครัว
"เออ ๆ ไม่เชื่อก็ตามใจ"
"...."
"กลับมาเรื่องของเราดีกว่า" มันพูดด้วยน้ำเสียงดี๊ด๊าขั้นสุดจนน่าถีบเลย
"อย่ามาใช้คำพูดแบบนี้นะไอ้สัส!! กูขนลุก"
"แหม!! ของมันก็เคย ๆ ไหม?"
"ไอ้เควส" ผมกดเสียงต่ำเรียกเจ้าของชื่ออย่างไม่พอใจ ให้มันหยุดเล่นแบบนี้สักที ตอนนี้ใครต่อใครก็คิดกันไปหมดแล้วว่าผมกับมันเป็น... แม่งเอ๊ย!!
"ก็ได้ ๆ ไม่เล่นก็ได้"
"...."
"สรุปคนที่มึงจะให้กูสืบประวัติคือใครวะ?"
"เธอมีชื่อว่า...หนึ่งวารี พัชรสกุลกิจ"
"เดี๋ยวนะ!! 'หนึ่งวารี' ชื่อคุ้น ๆ ว่ะ"
"...." ผมเงียบไปสักพักเพื่อให้มันได้ทบทวนความทรงจำของตัวเอง
"หนึ่งวารี ใช่ชื่อของหนึ่งในน้องสาวฝาแฝดของมึงหรือเปล่า?"
"เออ"
"แต่นามสกุล...ไม่ใช่นี่หว่า?"
"เธอเป็นนักเรียนในโรงเรียนของกู"
"ทำไมมึงถึงสนใจเธอวะ?"
"....."
"มึงคงไม่ได้คิดว่าเธอคือน้องสาวที่หายไปของมึงหรอกใช่ไหม?"
"แล้วกูจะคิดไม่ได้หรือไง?" ผมตามหาน้องสาวของผมมาตลอดสิบปี วี่แววหรือร่องรอยสักนิดผมก็ไม่เจอ หากวันนี้ผมได้มีโอกาสเจอคนที่ผมสงสัยว่าจะเป็นน้องสาวของผมอยู่ตรงหน้า ผมก็ต้องสืบหาให้รู้แน่ชัดสิ
"นี่มึงยังไม่เลิกหมกมุ่นอีกเหรอ?"
"ไอ้เควส มึงไม่มาเป็นกู มึงไม่รู้หรอกว่าเสียงร้องไห้ของม๊าที่กูได้ยินทุกคืนเพราะเสียใจเรื่องน้องมันทรมานมากแค่ไหน" เพราะแบบนี้ไง ผมเลยได้ย้ายออกจากบ้านหลังนั้นไปอยู่กับป้า
"...."
"กูก็แค่อยากมีความหวังว่าครอบครัวของกูจะมีโอกาสได้เจอน้อง ๆ อีกครั้ง"
"เออ ๆ กูจะช่วย ได้เรื่องยังไงแล้วเดี๋ยวบอก"
"เออ ขอบใจมึงมาก"
"แค่นี่นะไอ้สัส"
"เออ"
.
.
"นี่เป็นประวัติทั้งหมดที่กูสืบได้เกี่ยวกับเด็กคนนั้น" เควสโยนแฟ้มสีดำมาบนโต๊ะทำงานของผม ก่อนที่มันจะทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาที่อยู่ตรงข้ามกัน
"...." ผมเอื้อมมือไปเปิดแฟ้มนั้นก่อนจะกวาดสายตาอ่านตัวอักษรที่ร้อยเรียงด้วยหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมสงสัย และไม่สามารถมองข้ามไปได้เลย
"เธอเคยเปลี่ยนชื่อมาก่อน เรื่องนี้มึงคงรู้อยู่แล้วจากใบสมัครเข้าเรียน" คล้ายกับรู้ความต้องการของผม เควสเริ่มพูดเรื่องรายของ 'มายด์มิ้นท์'ให้ผมฟังเป็นฉาก ๆ
"เออ แต่ชื่อจีนของเธอมันน่าสงสัยตรงไหน?"
" 'จาง หยางซิน' มึงรู้ไหม? ว่าชื่อนี้มีอิทธิพลยังไงกับทางฝั่งฮ่องกง"
"???"
"เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของคุณจาง เป่าฉือ"
"จาง เป่าฉือ?" ผมทวนชื่อนี้ซ้ำ ๆ ด้วยความรู้สึกคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก
"ใช่ ท่านได้ชื่อว่าเป็นพ่อมดแห่งอุตสาหกรรมการต่อเรือ แล้วก็ได้ฉายาเป็นเจ้าพ่อสมุทรศาสตร์แห่งเกาะฮ่องกงอีกนะมึง"
"...."
"และอีกข่าวที่ดังพอ ๆ กับความสำเร็จของท่านก็น่าจะเป็นเรื่องทายาทปริศนาที่ไม่เคยเปิดเผยกับสื่อที่ไหนเลยนี่แหละ"
"...."
"นี่เป็นรูปของหยางซินที่เคยถูกถ่ายไว้ได้เมื่อ 2 ปีก่อนตอนที่เธอจบการศึกษามัธยมต้น"
"...."ผมกดสายตาลงมองรูปเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในชุดครุยที่ใบหน้านิ่งเฉยของเธอราวกับไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใดมันสะดุดให้ผมคิดถึงใครคนหนึ่งในความคิด สายตาแบบนี้...เธอเหมือนป๊าของผมจริง ๆ
"และนี่ก็น่าจะเป็นรูปเดียวที่เป็นการยืนยันว่าจาง หยางซินมีตัวตนอยู่จริง"
"มึงต้องการจะบอกอะไรกูกันแน่?"
"มึงคิดว่าตระกูลจางที่แสนโด่งดังมีเหตุผลอะไรที่ต้องซ่อนทายาทของตัวเองกับสื่อล่ะ" ผมลองคิดตามที่ผมพูด
"....."
"ถึงจะมีข่าววงในออกมาบอกว่าคุณจาง เป่าฉือท่านหวงลูกสาวมาก"
"...."
"แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้คนที่รักและหวงลูกสาวเข้ากระดูกดำแบบนั้นยอมส่งลูกตัวเองมาเรียนไกลถึงไทยนี่ด้วย"
"...."
"กูว่า...ผู้หญิงคนนี้มีอะไรให้มึงต้องสืบอีกเยอะเลยว่ะ"
"...." ปากของผมมันเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อความรู้สึกหนัก ๆ มันกำลังเข้าเล่นงานผมอย่างจัง ปมเงื่อนที่ผูกเอาไว้อย่างสลับซับซ้อน ผมควรแก้ไขมันอย่างไรดี
"แล้วก็นะ...กูมีอะไรอีกอย่างให้มึงดู" เควสลุกขึ้นมาเปิดหน้ากระดาษพลิกไปที่ประวัติของอีกคน
"...." ผมลองอ่านข้อความเหล่านั้นด้วยหัวใจที่ถูกกระตุกวูบกับความจริงที่ผมไม่ทันตั้งรับ
"กูลองไปสืบประวัติของคุณจาง เป่าฉือดูก็รู้ว่าท่าน แท้จริงแล้วเป็นลูกบุญธรรมของตระกูลจาง ที่ตอนนั้นท่านถูกรับเลี้ยงเพราะพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์"
"....."
"และนามสกุลเก่าของท่านก็คือ...."
"พัชรสกุลกิจ" ผมพูดนามสกุลนั้นออกมาเมื่อเริ่มรู้สึกว่าอะไร ๆ มันเริ่มเข้าร่องเข้ารอยมากขึ้นแล้ว
"ใช่ และมึงก็คงรู้อยู่แล้วว่าท่านมีพี่ชายอีกหนึ่งคนที่ถูกรับเลี้ยงเป็นเด็กในอุปการะโดยตระกูลทินกรอุไรมาศ"
"ตระกูลตาของกูเอง..."
"อือ"
ผมยกมือทั้งสองปิดหน้าตัวเองเพราะรู้สึกเหนื่อยล้ากับเรื่องที่ยากจะทำความเข้าใจ
"ทีนี้มึงก็เลิกสงสัยได้แล้วเนอะว่าหยางซินเป็นอะไรกับผู้ชายคนนั้น"
'ผู้ชายคนนั้น' ผู้ชายคนนั้นที่เควสมันหมายถึงก็คือลุงจัสติน คนที่ทำให้ผมต้องสูญเสียน้อทั้งสอบคนไป และท่านก็เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
"ข้อมูลที่กูหามาได้ก็มีแค่นี้แหละว่ะ"
"ไม่เป็นไร แค่นี้กูก็รู้สึกเหมือนโลกจะหมุนแล้ว" ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องมันจะซับซ้อนขนาดนี้
"แต่จากที่กูไปหามา แม่งไม่มีอะไรมายืนยันได้เลยว่ะว่าเธอจะเป็นน้องสาวที่หายไปของมึงได้"
"...."
"แล้วอีกอย่างนะเว้ย เธอไม่มีแฝด"
"...." คำพูดเหมือนดับฝันราวกับไม้หนา ๆ ที่หวดฟาดเข้าอย่างจัง แสงสว่างแห่งความหวังดับพรึบลงในพริบตาเดียว
"แต่ก็อย่างที่บอก...ข้อมูลที่กูหามาได้มันแค่นิดเดียวจริง ๆ บางที...ผู้หญิงคนนี้อาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างอื่นที่เราไม่รู้ก็ได้"
"มึงอย่ามาพูดเหมือนให้ความหวังกูแบบนี้นะ" เควสมองผมแล้วระบายยิ้มก่อนจะเดินมาหย่อนก้มนั่งทับบนที่วางแขนของเก้าอี้ที่ผมกำลังนั่งอยู่พลางเอื้อมมือไปหยิบรูปของมายด์มิ้นท์ขึ้นมาพิจารณดู
"สวยว่ะ"
"เฮ้ย! อย่าแม้แต่จะคิดนะเว้ย" ดูมันชมเข้า!! ถึงเธอจะไม่ใช่น้องสาว แต่ยังไงเธอก็เป็นคู่หมั้นของเซฟาน ผมหวงเธอในฐานะคู่หมั้นของน้องชายของเพื่อนอีกทีก็ได้
"ไอ้สัส!! กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น"
"แล้วไป"
"แต่จะว่าไป...ยัยเด็กนี่ก็หน้าเหมือนแม่มึงอยู่นะ แต่สายตานี่...เหมือนพ่อมึงฉิบหาย"
"ใช่ไหมล่ะ กูเห็นครั้งแรกกูยังตกใจเลย แล้วแบบนี้จะไม่ให้กูสงสัยว่าเธอเป็นน้องสาวของกูได้ไง"
"เอาหน่า...อย่าเครียดเลย" มันวางรูปของมายด์มิ้นท์ ก่อนจะลงน้ำหนักมือบีบนวดไหล่ให้ผม
"วันนี้ไปตี้กัน"
"ตี้เชี่ยไรก่อน กูไม่ไป"
"ไอ้สัส!! เดี๋ยวนี้มึงไม่ค่อยไปเที่ยวกับเพื่อนกับฝูงเลย ไอ้พวกนั้นมันถามหากันหมดแล้ว"
"เควส ตอนนี้กูเป็นผอ.แล้ว แถมยังพ่วงตำแหน่งอธิการบดีมหาลัยด้วย มึงก็รู้ว่ากูไปที่แบบนั้นบ่อยมันจะดูไม่ดี" ถึงผมจะชอบที่นั่นมากก็ตามแต่เรื่องการวางตัวก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน ถึงคนจะบอกว่าเดี๋ยวนี้มันไม่มีใครมาสนใจเรื่องแบบนั้นแล้ว แต่มันก็ยังเกี่ยวกับเรื่องความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของผมอยู่ดี
"ผอ.แล้วไง อธิการบดีแล้วไง มึงไม่ใช่คนหรือไงวะ?"
"...."
"ไปเที่ยวบ้าง ไปปลดปล่อยความเครียดบ้าง"
"มึงพูดมาเลยตรง ๆ ดีกว่าว่าทำไมถึงอยากให้กูไปนัก ปกติไม่เห็นจะเซ้าซี้นี่หว่า"
"แหม...มึงนี่รู้ทันกูทุกเรื่องจริง ๆ "
"=_="
"ครั้งนี้กูมีอะไรจะให้มึงดูด้วย"
"อะไร?"
"ไปถึงเดี๋ยวมึงก็รู้เองนั่นแหละ"
"....."
"สรุปว่าไง? ไปไม่ไป"
"...."
"ไง...." มันลากเสียงยาวถามย้ำได้อย่างน่ากวนตีน
"เออ ๆ ไปก็ไป"
March talk end
To be continued
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น